ลักษณะที่ปรึกษาตามแบบคริสเตียน
นายสรพงษ์ ศรีบุญไทย
พนักงานศาสนกิจ
การให้คำปรึกษาแบบคริสเตียนนั้นเป็นพันธกิจของคริสเตียนผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ผู้ที่แสวงหาหนทางในการช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหาต่าง ๆ ในการดำรงชีวิต โดยการให้คำปรึกษานั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานข้อพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งมาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ ซึ่งเป็นบรรทัดฐานในการดำเนินชีวิต ซึ่งในพระคริสตธรรมคัมภีร์นั้นได้บันทึกข้อมูล แนวทาง ข้อแนะนำ และแนวปฏิบัติที่ดี ซึ่งสอดคล้องกับการให้คำปรึกษาในประเภทต่างๆ ดังนี้ ประเภท Informative counseling คือ การปรึกษาโดยการให้ความรู้ รวมถึงวิธีปฏิบัติ หรือ การให้คำปรึกษาแบบ Directive counseling คือ การปรึกษาโดยการชี้แนะแนวทาง หรือ แบบ Advocacy counseling คือ การปรึกษาโดยการให้ข้อมูลเพียงพอที่จะเลือกทางแก้ปัญหาที่มีหลายแบบ และการให้การปรึกษาSupportive counseling คือ การประคับประคองทางจิตใจ จนสงบเพียงพอจะแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง (พนม เกตุมาน, 2562) ซึ่งผู้ที่ให้การปรึกษาแบบคริสเตียนสามารถนำแนวทางหรือข้อปฏิบัติไปปรับประยุกต์ใช้ได้ตามบริบท และตามความเหมาะ สม ขึ้นอยู่กับลักษณะของปัญหาและสถานการณ์ของผู้ที่มาขอรับคำปรึกษาแต่ละคน ในพระธรรม 2 ทิโมธี บทที่ 3 ข้อที่ 16 เขียนไว้ว่าสามารถใช้พระคัมภีร์ในเรื่องต่างๆ ดังนี้ “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า 1) เป็นประโยชน์ในการสอน 2) ในการตักเตือนว่ากล่าว 3) การแก้ไขสิ่งผิด 4) การอบรมในความชอบธรรม”
ลักษณะที่ปรึกษาแบบคริสเตียน
ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บันทึกลักษณะของที่ปรึกษาที่เป็นคริสเตียนไว้หลายประการดังปรากฏในพระคริสตธรรมคัมภีร์ทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่หลายตอน ดังนี้
1. ลักษณะประการแรก ที่ปรึกษาแบบคริสเตียน ต้องประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสติปัญญา พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือ ผู้ช่วย หรือ ที่ปรึกษาที่ดีที่สุดที่พระเจ้าประทานมาให้แก่ผู้เชื่อ ในที่ปรากฏในพระธรรมยอห์น 14:16-17 ได้กล่าวไว้ว่า “เราจะทูลขอพระบิดาและพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป คือพระวิญญาณบริสุทธิ์แห่งความจริง ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ในท่าน” เป้าหมายของการให้คำปรึกษาแบบคริสเตียนนั้นไม่ได้มุ่งไปที่การเปลี่ยนแปลงทัศคติของผู้รับคำปรึกษาเท่านั้น แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตที่อยู่ด้านในให้เป็นชีวิตใหม่หมด การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้คือ “การบังเกิดใหม่” ในเรื่องนี้ไม่มีผู้ให้คำปรึกษาที่เป็นมนุษย์ท่านใดจะสามารถทำได้ เพราะเป็นเรื่องที่เกินความสามารถและเกินความเข้าใจของมนุษย์ มีเพียงผู้เดียวที่จะทำให้ผู้มารับการปรึกษาได้บังเกิดใหม่อย่างแท้จริง คือ องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์เพียงผู้เดียวเท่านั้น ในการให้คำปรึกษาแต่ละครั้งต้องทำร่วมกับ พระวิญญาณบริสุทธิ์ และ พระคำของพระเจ้า เสมอจะขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ (ประยูร ลิมะหุตะเศรณี, 2562) สติปัญญา สำหรับคริสเตียนแล้วสติปัญญา ความรู้ ความเข้าใจ ทั้งสิ้นล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ ชาร์ลส สเปอร์เจี้ยน (Charles Spurgeon อ้างถึงใน, มานาประจำวัน, 2556) ได้เขียนไว้ว่า “ปัญญาคือความงามแห่งชีวิตอันเกิดขึ้นในเราจากพระหัตถกิจของพระเจ้าเท่านั้น Is a beauty of life that can only be produced by God’s workmanship in us.” ซึ่งสอดคล้องกับพระธรรมสุภาษิตบทที่ 2 ข้อที่ 6 เขียนไว้ว่า “เพราะพระยาห์เวห์ประทานปัญญา และจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ความรู้กับความเข้าใจก็ออกมา” การให้การปรึกษานั้นผู้ให้การปรึกษาต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องราวต่าง พอสมควรจึงจะสามารถให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ได้
2.ลักษณะประการที่สอง ที่ปรึกษาแบบคริสเตียน ต้องสามารถประยุกต์ใช้พระวจนะของพระเจ้าได้อย่างถูกต้อง ดังที่เขียนไว้ในพระธรรม 2 ทิโมธี บทที่ 2 ข้อที่ 15 “จงอุตส่าห์ถวายตัวท่านเองที่พระเจ้าทรงรับรองแล้วแด่พระองค์ เป็นคนงานที่ไม่อับอาย สอนพระวจนะแห่งความจริงอย่างถูกต้อง” เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นมีชีวิตและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ และคมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งแยกจิตและวิญญาณ ทั้งข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย(พระธรรมฮีบรู บทที่ 4 ข้อที่ 12) ที่ปรึกษาที่เป็นผู้เชื่อนั้นต้องอุทิศตัวเองในงานการรับใช้พระเจ้า ด้วยความภาคภูมิใจ สอนพระวจนะและประยุกต์ใช้พระวจนะของพระเจ้าได้อย่างถูกต้องในการให้คำปรึกษา ซึ่งสอดคล้องกับพระธรรมสุภาษิต บทที่ 15 ข้อที่ 23 ที่เขียนไว้ว่า “คนที่มีคำตอบเหมาะๆ ในปากย่อมยินดี คำเดียวที่ถูกกาลเทศะก็ดีจริงๆ” จากข้อพระวจนะข้อนี้พูดถึงลักษณะของผู้ที่เป็นผู้ให้คำแนะนำหรือที่ปรึกษาที่ดีจะต้องมีคำตอบที่เหมาะสม ซึ่งสามารถช่วยให้การช่วยเหลือได้ย่อมเป็นที่น่ายินดีแก่ผู้มาขอรับคำปรึกษา และมีคำตอบแม้เพียงแต่คำเดียวที่ถูกกาลเทศะก็ดีจริงๆ คำว่าเหมาะสม หมายถึง สมควร ควรแก่กรณี และคำว่าถูกกาลเทศะ หมายถึง ความเหมาะไม่เหมาะเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ที่จะทำการ
3. ลักษณะประการที่สาม ที่ปรึกษาแบบคริสเตียน ต้องกอปรด้วยผลของพระวิญญาณ ในพระธรรมกาลาเทีย บทที่ 5 ข้อ 22 เขียนไว้ว่า “ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์
3.1 มีความรัก ผู้ให้คำปรึกษาแบบคริสเตียนควรจะต้องมีความรักเกิดขึ้นในใจของตนเองก่อนเป็นอันดับแรก คือ มีความรักในผู้อื่นหรือคนอื่นพร้อมที่จะให้การช่วยเหลือเมื่อมีผู้ร้องขอความช่วยเหลือ ดังบัญญัติข้อที่ว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”
3.2 มีความยินดี ผู้ให้คำปรึกษาแบบคริสเตียนควรจะต้องมีความยินดี เต็มใจที่จะให้การปรึกษา
3.3 มีสันติสุข ผู้ให้คำปรึกษาแบบคริสเตียนควรจะต้องเป็นผู้ที่ใฝ่หาสันติสุขมีจิตใจสงบเยือกเย็น ไม่เป็นคนใจร้อน
3.4 มีความอดทน ผู้ให้คำปรึกษาแบบคริสเตียนควรจะต้องมีความอดทนสูงพร้อมที่จะอดทนรับฟังเรื่องราวต่างๆ ที่มีผู้มาขอคำปรึกษา
3.5 มีความกรุณา ผู้ให้คำปรึกษาแบบคริสเตียนควรจะต้องมีความกรุณา คือ มีความเมตตาต่อผู้อื่นให้ความช่วยเหลือด้วยใจจริง
3.6 มีความดี ผู้ให้คำปรึกษาแบบคริสเตียนควรจะต้องวางตนให้อยู่ในคุณความดีที่สามารถเป็นแบบอย่างอันดีงามแก่ผู้อื่นได้
3.7 มีความซื่อสัตย์ ผู้ให้คำปรึกษาแบบคริสเตียนควรจะต้องความซื่อสัตย์ทั้งต่อตนเองและต่อผู้ที่มาขอคำปรึกษา สามารถเก็บความลับได้
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ลักษณะที่ปรึกษาแบบคริสเตียนในเบื้องต้นนั้น ควรจะเป็นผู้ที่ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และมีสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า สามารถประยุกต์ใช้พระวจนะของพระเจ้าในการให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้อง และกอปรด้วยผลของพระวิญญาณ คือ มีความรัก ความยินดี มีสันติสุข มีความอดทน มีความกรุณา มีความดี และมีความซื่อสัตย์
เอกสารอ้างอิง
ประยูร ลิมะหุตะเศรณี. (2562). พระวิญญาณบริสุทธิ์กับการให้คำปรึกษา. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2562, จาก http://jaisamarnchurch.org/media/articles/holy-spirit-counseling/
พนม เกตุมาน. (2562). การให้คำปรึกษาเด็กที่ประสบภัยพิบัติ. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2562, จาก http://www.psyclin.co.th/new_page_67.htm
มานาประจำวัน. (2556). ปัญญามาจากไหน. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2562, จาก https://thaiodb.org/2013/07/25/%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%99/
สมาคมพระคริสตธรรมไทย. (2011). พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011. กรุงเทพฯ: สมาคมพระคริสตธรรมไทย
เป็นบทความที่น่าสนใจมากค่ะ