การให้คำปรึกษาแก่บุคลากรและนักศึกษาบนพื้นฐานหลักธรรมของคริสตศาสนา
แนวทางการให้คำปรึกษาบนพื้นฐานของหลักธรรมในพระคัมภีร์
ศาสนาจารย์ ดร. พญ. วิจิตรา อัครพิชญธร
อนุศาสก หัวหน้าสำนักศาสนกิจ
การให้คำปรึกษาเป็นเครื่องมืออันมีค่าที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลให้คนที่ประสบปัญหา สามารถตัดสินใจเลือกวิธีการแก้ปัญหาและผ่านพ้นอุปสรรคช่วงวิกฤตของชีวิตไปได้ด้วยตัวของเขาเอง การให้คำปรึกษาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนพอควรที่ผู้ให้คำปรึกษา (Counsellor) พึงปฏิบัติต่อผู้มาขอรับคำปรึกษา (counselee หรือ client) อย่างเอาใจใส่ เพราะส่วนใหญ่มักมีปัญหาที่ลึกซึ้งเปิดเผยได้ยาก ผู้มีปัญหามักจะอาย ทำให้ผู้ให้คำปรึกษาต้องมีความเป็นกันเอง น่านับถือไว้ใจได้ รักษาความลับได้ มีทัศนคติที่ดี มีทักษะในการให้คำปรึกษา และมีความรู้เป็นอย่างดีในเรื่องที่จะให้คำปรึกษา
การให้คำปรึกษาตามหลักการของพระคัมภีร์ต่างกับการให้คำปรึกษาทั่วไปตรงที่มีการรวมเอาการดูแลด้านจิตวิญญาณเข้ามากับการดูแลจิตใจและร่างกาย ทั้งนี้เพื่อจะเสริมสร้างผู้ที่ต้องการการรักษาเยียวยาได้อย่างครบถ้วนเป็นองค์รวม ดังนั้น การให้คำปรึกษาทั่วไปใช้หลักการทางจิตวิทยา โดยเน้นทางจิตบำบัด แต่ ผู้ให้คำปรึกษาตามหลักการของพระคัมภีร์นี้ต้องทำหน้าที่เป็นผู้อภิบาลด้วย โดยการอธิษฐานเผื่อและอ่านข้อพระคัมภีร์เพื่อหนุนจิตชูใจและหาคำตอบให้กับปัญหาชีวิต บางครั้งก็ต้องนำเข้าสู่การร่วมสามัคคีธรรมกับผู้เชื่อคนอื่นๆ ด้วย
วัตถุประสงค์ในการให้คำปรึกษา
1) เพื่อให้ผู้รับคำปรึกษาได้พูดระบายความรู้สึกคับข้องใจออกมา อันจะทำให้เกิดความเข้าใจใน ความหมายของปัญหาและสถานาการณ์นั้นๆ ได้
2) เพื่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างผู้ให้คำปรึกษาและผู้รับคำปรึกษา ในการที่จะวางแผนเผชิญและแก้ไขสถานการณ์ปัญหาของผู้รับคำปรึกษาเองได้
3) เพื่อให้ผู้รับคำปรึกษาได้รับการหนุนใจจากพระวจนะของพระเจ้าและการอธิษฐานเผื่อโดยผู้ให้คำปรึกษา
แนวปฏิบัติในการให้คำปรึกษา (แครบบ์, 2002: 167-182)
ขั้นตอนที่ 1 การระบุถึงความรู้สึกที่เป็นปัญหา
เริ่มบทสนทนาด้วยการพูดถึงความรู้สึกที่เป็นปัญหา เช่น เก็บกด หวั่นไหว กลัว กลุ้มใจ รู้สึกผิด ท้อแท้ หมดอาลัยตายอยาก เหงา ซึ่งมักเป็นอารมณ์เชิงลบ หรืออาจเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการเล่าถึงสถานการณ์ที่เป็นปัญหา เช่น อาชีพการงานที่ติดขัด ครอบครัวที่มีความขัดแย้ง แล้วถามความรู้สึกของเขาที่เกิดขึ้นจากสภาวกรณณ์นั้นเพื่อวิเคราะห์ความรู้สึกที่เป็นปัญหาและหาทางแก้ไข
ขั้นตอนที่ 2 การระบุถึงพฤติกรรมอันนำไปสู่เป้าหมายที่ถูกขัดขวาง
เมื่อทราบความรู้สึกที่เป็นปัญหาแล้ว ก็ค้นหาพฤติกรรมที่นำไปสู่เป้าหมายที่ถูกขัดขวาง แล้วตั้งสมมติฐานที่อาจเป็นไปได้ว่าพฤติกรรมนั้นอาจเป็นตัวที่ก่อให้เกิดปัญหา หรือค้นหาโดยการรื้อฟื้นความจำในอดีต หรือเล่าความทรงจำในวัยเด็กที่เกี่ยวข้องกับปัญหา ซึ่งอาจช่วยคลายปมที่เป็นประเด็นปัญหาได้ เช่น รู้สึกกลัวความล้มเหลว เพราะคุณพ่อเคยล้มเหลวในเรื่องนั้น พฤติกรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จก็จะมีปัญหา ความรู้สึกที่เกิดคือวิตกกังวล ทำให้เราหาทางแก้ไขได้ตรงจุด
ขั้นตอนที่ 3 การระบุถึงความคิดที่เป็นปัญหา
เมื่อทราบความรู้สึกของเขาแล้ว ก็ต้องโน้มน้าวให้ผู้ขอรับคำปรึกษารู้ตัวว่ากำลังมีความคิดที่ผิด ทำให้เกิดความรู้สึกเชิงลบขึ้น จำเป็นที่ต้องเปลี่ยนสมมติฐานในใจเสียใหม่ คิดใหม่
ขั้นตอนที่ 4 การให้ความเข้าใจถึงความคิดหลักตามแนวพระคัมภีร์
ผู้ให้คำปรึกษาควรนำเสนอวิถีทางตามแนวทางพระคัมภีร์ให้เขาฟังเพื่อเปลี่ยนทัศนคติของเขาเสียใหม่ให้ถูกต้อง สอนเขาตามหลักความเชื่อคริสเตียน ควรยกข้อพระคัมภีร์สนับสนุน อาจเขียนข้อนั้นลงในกระดาษแข็ง เก็บไว้ในกระเป๋า เพื่อให้เขาอ่านทวนซ้ำเมื่อไรก็ตามที่เกิดความรู้สึกที่เป็นเชิงลบขึ้น
ขั้นตอนที่ 5 การบรรลุความตั้งมั่น
เมื่อเข้าใจถูกต้องตามพระคัมภีร์แล้วก็ต้องตั้งมั่นที่จะยึดตามรากฐานของความจริงที่ได้เรียนรู้มาใหม่ เพราะการมีความคิดที่ถูกนั้นยังไม่พอ เปราะบางเกินไป ต้องมีความตั้งใจที่มั่นคงที่จะประพฤติตามความคิดนั้นด้วย จึงจะเรียกว่า บรรลุความตั้งมั่น
ขั้นตอนที่ 6 การวางแผนและประพฤติตามหลักพระคัมภีร์
ควรแนะนำให้ผู้ขอรับคำปรึกษาจดจำข้อพระคัมภีร์และหลักธรรมในพระคัมภีร์ไว้เตือนใจเสมอเมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้นให้โกรธหรือไม่พอใจ เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมให้สอดคล้องกับความคิดใหม่ที่ได้รับการควบคุม เพื่อนำเอาความจริงของพระเจ้ามาทำให้มีอารมณ์ที่มั่นคง ใจเย็น หนักแน่น ไม่โกรธหรือฉุนเฉียวง่ายๆอีก
ขั้นตอนที่ 7 การระบุถึงความรู้สึกที่ควบคุมได้
เมื่อควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้ เขาจะมีสันติสุข สงบ ซี่งเป็นผลจากการควบคุมโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เจ้าตัวก็สามารถรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้เพราะเมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้น เขาจะตอบสนองอย่างสันติและรอมชอมมากกว่าเดิม
อนึ่ง ผู้ให้คำปรึกษาพึงตระหนักในจรรยาบรรณของตนว่า เรื่องที่ปรึกษานั้นเป็นความลับของผู้มาขอคำปรึกษา และไม่ควรแพร่งพรายให้ผู้ใดทราบ ยกเว้นว่าจะได้รับอนุญาตให้เปิดเผยได้
เอกสารอ้างอิง
แครบบ์, ลาร์รี่. (2002). การให้คำปรึกษาที่มีประสิทธิภาพตามพระคัมภีร์, แปลโดย ภัทรา คะนึงไกวัล. กรุงเทพฯ: ทีรันนัส.
ถามว่าบุคคลผู้ใดที่มีคุณสมบัติเป็นผู้ให้คำปรึกษาได้บ้าง
ควรเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ
อยากรับคำปรึกษา แต่ไม่กล้าเข้าไปในห้องอาจารย์